Penang Trip
lifestyle
Penang Trip
ทริปปีเก่าแต่เอามาเล่าปีใหม่ ไหนๆ ก็มี Blog แล้วเอามาเป็นที่เล่าประสบการณ์เก็บไว้หน่อยดีกว่า
มีอยู่ว่า แม่อยากไปเที่ยวช่วงปลายปี ทริปปีนังนี้จึงเกิดขึ้น วางแผนไม่ถึงเดือน จองที่พักให้ได้เป็นพอ
เอาละ เริ่มกันเลย!!
DAY1: เดินทางไปปีนัง
07:00 เริ่มแรกเราเดินทางด้วยการนั่งรถไปที่ปาดังเบซาร์ตั้งแต่เช้า จากนั้นก็ต่อรถไฟที่สถานีนี้ ประมาณ 8 โมงกว่าๆ รถไฟไทยก็มารับ ในความขำก็คือมันเป็นสถานีสุดท้ายของประเทศไทยเรา และไปที่สถานีที่มาเลเซียเลย ขึ้นรถไฟไม่ถึง 5 นาทีก็ลงละ…
09:00 แน่นอนหากเรามาในช่วงเทศกาลละก็ คงหนีไม่พ้นการเจอคนที่เยอะมากมาย พร้อมลงมาจากขบวนรถไฟ มารอคิวเพื่อตรวจ Passport อยู่แสนนานในตรงนี้
10:00 จุดพีทมันไม่มีแค่นั้น เนื่องจากช้ากับการรอตรวจ Passport เราได้ขึ้นไปเพื่อซื้อตั๋ว และพอลงมาที่ชาญชลา รถไฟไป B’worth นั้นก็ได้ไปแล้วละ (ไม่ทัน TT)
ปรับ Timezone Hour +1
แต่พึ่งมารู้ทีหลังว่าตั๋วนี้ ซื้อแล้วขึ้นตอนไหนก็ได้ แต่นั่นก็คือต้องรออีกครั้งนึงปรากฏว่ารอไปจนถึง 12.25 นั่นก็คือเราต้องรอประมาณ 1 ชม.กว่าๆไปเลย
แค่ข้ามประเทศเห็นความแตกต่างของระบบขนส่งอย่างชัดเจนมาก รถไฟถ้าเล่าให้เห็นภาพคือประมาณ รถไฟฟ้า BTS บ้านเราเลย แค่บ้านเขาคือเป็น รถไฟฟ้าวิ่งข้ามจังหวัด (เท่านั้นเอ๊งงง)
15:30 เดินทางมาประมาณ 2 ชม. และพักกินข้าวกันไป เราก็ขึ้นเรือ Ferry ไปปีนังกันต่อ
ความ Surpise ถัดไปคือที่นี้ทุกอย่างคือเขาทำอย่างที่เขียนนะ รถไฟฟ้าออก 12.25 หรือเรือออก 15.30 นี่คือไปจริงๆ (อ่อที่จริงมันก็ควรเป็นอย่างนั้นนะ…)
16:00 และแล้วก็ถึงปีนัง (อย่าลืมไปซื้ออินเตอร์เน็ตไม่นั้นหลงแน่ๆ) เดินทางเข้าที่พักเสร็จเราก็ได้เดินทางไปที่ Street Art เอาจริงๆมันก็เหมือนย่านเมืองเก่า สงขลาหรือภูเก็ตบ้านเราอยู่นะ ใครชอบถ่ายรูปก็คงถือเป็นที่ที่ต้องไปเลยแหละ :)
ส่วนตัวเรานั้นเดินขาลากก ไม่ค่อยอินมากนัก 555+18:00 ไปหาอะไรกินกัน มันก็จะเป็นร้านขายอาหารข้างทาง ร้านที่ถ่ายมาถือว่าคนต่อคิวเยอะมาก (อ่ออ แต่เราไม่ได้กิน..)
จบแหละวันแรก
DAY2 วนกันไปในปีนัง
07:00 เราได้วาปมาจากโรงแรมขึ้นมาที่ Penang Hill
กัน มีความเปรียบเทียบก็เหมือนขึ้นเขาตังกวนสงขลาอยู่หน่อย แต่ที่นี่เส้นทางขึ้นเขาคือยาวจริง ไม่ขึ้นนี่คงไม่ไหว ด้วยความที่มาเช้าเราจึงได้เห็นบรรยากาศ เมืองนี้ที่มีหมอกอยู่หน่อยๆ
เอาจริงอยู่บนเขานี้ได้ทั้งวันเลยละ มีกิจกรรมเยอะแยะไปหมด
อ่อแต่จากการถามพนักงานเขาบอกว่าเวลาที่ดีที่จะขึ้นเขาไปนั้นคือช่วงกลางคืน มันจะได้เห็นแสงสีของทั้งเมือง ดูจากรูปแล้วก็สวยอยู่
09:00 พอลงเขามาก็ไปที่วัดกันต่อ วัดนี้ชื่อว่า Kek lok si
เป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (พึ่งรู้ก็ตอนไป Search หาชื่อวัดเมื่อกี้นี่เอง) ฟิลลิ่งเหมือนวัดจีนที่สร้างไว้บนเขา นับถือคนสร้างเลย
11:40 ลงจากวัดก็ได้มากินอาหารแถวนั้น เจอร้านเป็ดร้านนึง(อยู่ปากทาง) อร่อยดี ซื้อของฝากก็แถวนี้ เสร็จแล้วก็กลับไปที่พักเอาของที่ซื้อไปเก็บซะก่อน
ถึงตรงนี้เราได้ขึ้นรถเมล์ที่นั่นครั้งแรก ก่อนหน้านี้คือ Grab ล้วนๆ (แต่เอาจริงพอหาร Grab ก็แพงกว่านิดนึงแต่ได้ความสะดวกและลดเวลาไปเยอะ)15:00 ไปเที่ยวกันต่อคราวนี้กลับไปที่หมู่บ้านชาวประมง เรียกว่า Chew Jetty
เป็นประมาณตลาดที่ยื่นไปในทะเล (ในไทยก็มีแต่ไม่แน่ใจว่าที่ไหนเป็นหมู่บ้านชาวประมงประมาณนี้แหละ) และแน่นอนที่ไม่พลาดไปกันคงเป็นสะพานที่ยืนออกไป
จากนั้นเราก็ไปเก็บตก Street Art กันอีกรอบ
18:00 ตกดึกไปดูฝั่งห้างเขากันบ้าง ที่ได้เดินทางไปเป็นห้างคล้าย Paragon อะไรประมาณนั้นแต่ดูจากคนที่เดินแล้ว ค่อนข้างน้อยนะบางตาพอสมควร
สิ่งที่เหมือนกับไทยคือ เจอคนต่อคิวกันที่ร้านชาบูในห้างนี้เยอะมาก
หนีไม่พ้นที่จะไปสำรวจโรงหนังที่นี้หน่อย ดูก็เงียบๆดี
สิ่งที่แปลกตามากกว่าคือร้านหนังสือเขาดูอลังมาก สวยงามสุดๆ20:00 กลับมากินอะไรคล้ายๆหมี่นี่ละ ก็รสชาติก็โอเคอยู่ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู ตกใจพูดกับคนขายไม่ค่อยเข้าใจ ฮาา
ความ Surpise อย่างที่ 3 ของที่นี้คือเขาหยุดรอสัญญาณไฟข้ามถนนกัน ถึงแม้ว่าไม่มีคนข้ามถ้าไฟไม่เขียว ก็ไม่ไปนะ…
จบแล้ววันที่ 2
DAY3 กลับบ้าน
10:00 เดินทางกลับด้วยตั๋วเรือใบเดิม ฉะนั้นเราไม่ต้องซื้อตั๋วขากลับ
11:40 เดินทางขึ้นรถไฟกลับ
ปรับ Timezone Hour -1
การเดินทางไปที่ไหนไกลๆ พาตัวเองออกมาไปเจอสิ่งที่ไม่เคยเจอมาก่อน เอาจริงๆมันเหนื่อยมาก ไปเที่ยวครั้งหนึ่ง กลับมาที่พักทุกทีพร้อมนอนทุกเมื่อ แต่สิ่งที่นิยามคำว่า พักผ่อน นั่นคงเป็น
การหยุดพัก เก็บทุกอย่างไปชั่วขณะ