หนังสือ Super Productive
บันทึกไม่ลับของบลู
บันทึกไม่ลับ :: หนังสือ Super Productive
หนังสือเล่มนี้มี 3 บท ใหญ่ด้วยกันคือ การจัดการตัวเอง การจัดการธุรกิจ และ การจัดการทีม สิ่งที่ชอบ จากที่อ่านมากที่สุดและอยากแนะนำ คงเป็นบทการจัดการตัวเอง เลยอยากเขียนบันทึกให้เพื่อนๆได้อ่านกัน :)
11 บทของการจัดการตัวเอง
-
คิดจะทำสิ่งใหม่ๆ อย่าคิดเยอะ
- การต่อสู้กับ burnout ที่ดีที่สุด คือการทำต่อแบบไม่ต้องคิดเยอะ
- สิ่งสำคัญที่สุดคือ
"วินัย"
และต้องทำให้ดีกว่าเดิม
-
หยุดกังวลในสิ่งที่คนอื่นคิดถึงกับคุณ
- เรามักจะคิดว่าคนอื่นจะจำเรื่องของเราได้แม่นมากแต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย นั่นส่งผลให้เราคิดเยอะทุกครั้งเมื่อมีคนมา comment ทั้งๆที่คนๆนั้น ไม่ได้คิดอะไรต่อเลยหลังจาก comment เสร็จไปแล้ว
- เข้าใจตัวเองแบบลึกซึ้ง อะไรที่เราเชื่อ อะไรที่เราไม่เชื่อ
(หาปรัชญาในการดำเนินชีวิต)
เพื่อจะให้เราเข้าใจตัวเองที่แท้จริงว่าทำอะไรอยู่ ในสถานการณ์ที่เผชิญอยู่กับคำวิจารย์
-
เข้าใจนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง
- ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมนี้ ต้องเริ่มจากวิธีคิดก่อน
-
แก้อย่างไรดี
- วางแผน เลือกสิ่งสำคัญที่สุดในลิสต์ หากงานเยอะ ลองแบ่งย่อยๆแล้วทำเป็นขั้นเป็นตอน
- ลงมือทำ แรกๆจะยาก ฝืนสักนิด พอจุดหนึ่งเราจะรู้สึกดีขึ้น
-
แรงจูงใจในการทำงาน
-
ต้องหาว่าอะไรกันแน่ที่มีความสุขจริงๆ ในการทำงาน
เมื่องานนั้นมีความสุข ผลของมันจะออกมาดีเสมอ
-
-
ทำอย่างไรจึงเป็นคนที่เรียนรู้ตลอดชีวิต
-
จงมี
Growth Mindset
นั่นคือทัศคติที่เชื่อว่าทุกอย่างสามารถพัฒนาได้ ไม่เก่งก็ฝึก ไม่รู้ต้องเรียนรู้ -
วิธีเรียนรู้ด้วยตัวเอง
- กฏ 5 ชั่วโมงของเบนจมิน แฟรงคลิน เรียนรู้เรื่องใหม่วันละ 5 ชั่วโมง ตลอด 5 - 6 วัน ต่อสัปดาห์
- Active Learning เรียนรู้ได้ด้วยการลงมือทำ ex. เมื่ออ่านหนังสือ มีการจดในช่องว่างของหนังสือ
- จัดลำดับความสำคัญ 80/20 ทุกศาสตร์ จะมีหลักที่สำคัญประมาณ 20 - 30 % และ 20% นี้แหละที่จะทำให้อีก 80% ได้ง่ายขึ้น
-
หาแรงบรรดาลใจให้เรียนรู้สิ่งใหม่
ถ้ารู้ว่าตัวเองเรียนรู้ไปทำไม ที่เหลือก็ไม่ยากแล้ว
ex. Mar Cuban อายุ 60 มีความเชื่อว่าคนที่จะมีทรัพย์สิน 1 ล้านล้านเหรียญคนแรก ต้องทำเงินมาจาก AI เขาจึงศึกษาการเขียน AI ตลอดเวลาที่ว่าง
-
-
รู้กว้าง VS รู้ลึก
- มักจะพูดถึงตัว “T” ที่คนเราจะต้องรู้กว้าง (-) และลึก (|) แต่สุดท้ายเราจะต้องหางานที่เอา T ไปใส่แล้ว เรารู้สึกมีความสุขที่สุดเพราะมีความสุข เราก็จะทำงานได้ดี
-
รู้จักตัวเอง
- Internal Self Awareness เราต้องเข้าใจตัวเราว่าพื้นที่ยืนของเรานั้น อยู่ที่ไหนสภาพแวดล้อมแบบไหน หากไม่มีความสุขแสดงว่าเรายืนผิดที่
-
External Self Awareness คือเรารู้จักตัวเองผ่านคนรอบตัวและเรารับฟังฟีดแบ็กหรือตั้งใจฟังมันจากคนรอบตัวหรือไม่
ยิ่งตำแหน่งสูงมากเท่าไร ต้องมี Self Awareness และ Feedback System
-
ความสำคัญของ Deep Work
- Deep Work เป็นช่วงที่เราจะโฟกัสกับงานได้ดีที่สุด โดยทั่วไปมีเพียง 3 ชม. ต่อวัน ดังนั้นต้องใช้และเลือกงานที่ดีที่สุดในช่วงเวลานี้
- ทำอย่างไรที่จะมี Deep Work?
- นอนให้พอ
- จง focus กับงานที่สำคัญในช่วงเวลา Deep Work ซึ่งส่วนใหญ่เวลานั้นมักเป็นช่วงเช้า
- ออกกำลังกาย
- จงพักให้เป็น
- ละเว้นมือถือ
- หูฟังตัดเสียง จะทำให้ focus ยิ่งขึ้น
- นั่งสมาธิ
-
ภาวะหมดไฟ
- วิธีสังเกต
- เช็คจังหวะเวลาดู เราอาจเลือกทำงานไม่เหมาะกับเวลานั้นหรือไม่
- เรื่องของงาน อาจจำเป็นต้อง มองงานเดิมด้วยมุมมองใหม่
- เวลาเหมือน burnout อย่าราดน้ำซ้ำ เช่น ไปหาอะไรที่มีความสุขง่ายๆ เช่น เสพพวก ซีรีย์ หนัง เราควรหาหนังสือใหม่ๆมาอ่าน ออกกำลังกายเยอะๆ พบเจอผู้คน
- เห็นโลกที่เราเห็น ไม่ใช่โลกที่มันเป็น บางอย่างแค่เปลี่ยนมุมมองก็ช่วยได้ เช่น เมื่อเจอปัญหา เราควรจะเรียกว่าเจอสิ่งที่ท้าทาย
- แยก feedback กับสิ่งที่ไม่ใช่ feedback ออกไหม
-
มองในแง่ลบอยู่หรือไม่
หากหาสิ่งที่ไม่พอใจและชนะมันได้ ภาวะหมดไฟก็จะหายไป! — Marissa Mayer
-
สามกระบวนท่าในการตัดสินใจ
- ตัดสินใจเชิงโต้ตอบ ( Reactive decision-making ) เคสที่เจองานอะไรมาแล้วก็แก้ไปเรื่อยๆตามเคสที่มา ทำให้จัดลำดับความสำคัญไม่ได้ วางแผนงานไม่ได้ ต้องรีบเปลี่ยนเป็นการตัดสินใจเชิงรุก
- ตัดสินใจเชิงรุก ( Proactive decision-making ) การจัดงานที่ยุ่งเหยิงและวางแผนมัน หากทำได้เราจะเห็นสิ่งที่มา
ก่อน
ที่มาถึง และเราสามารถจัดการรองรับ ปัญหาเหล่านั้นได้ - ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ( Strategis decision-making ) เมื่อมีแผนที่ชัดเจนแล้ว ทำให้เรามีเวลามากพอในการตัดสินใจ ในอนาคตทำให้เป็นอิสระ ทำงานและ focus ในสิ่งที่ยากมากที่สุดได้
-
คำถามที่ใช่
- หากเราเลือกถาม คำถามที่ถูก คำตอบก็จะถูกไปด้วย หลายครั้งมักไปหาคำตอบโดยไม่ได้ทบทวนว่าคำตอบนั้นถูกหรือยัง
ที่จริงแล้วหนังสือนั้น ประกอบไปด้วย 3 บทใหญ่ สิ่งที่ได้เขียนไป เป็นเพียงบทแรกคือ การจัดการตัวเอง ที่รู้สึกว่าอ่านแล้วทุกคนที่ผ่านมาอ่านน่าจะได้ประโยชน์กันมากที่สุด
หนังสือเล่มนี้ถือเป็นอีกเล่มหนึ่งที่อ่านไม่ได้ยาก ถ้าพูดถึงประสบการณ์ในการอ่านของเรา และแนะนำให้อ่านฉบับเต็มนะ :)
สุดท้ายขอปิดด้วยประโยคที่โดนใจที่สุด
วินัยคือสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ใช่พรสรรค์
ทั้งหมดเป็นบันทึกที่ได้จากการอ่าน ประโยคที่ถูกใจของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งบางอย่างอาจมีการตีความไปแล้วบ้าง และตัดๆบางบทไปเพื่อฝึกฝนทักษะอ่านจับใจความของตัวเอง ขับออกมาให้ดีเท่าที่ตัวเองทำได้และสร้างนิสัยให้กับตัวเอง